กาลครั้งหนึ่งเหล้าเบียร์เคยเป็นของประชาชน

รู้หรือไม่? เหล้าเกิดจากแดนอาหรับ 

เบียร์มาจากโจ๊กธัญพืชค้างคืน 

ชาวบ้านต้มเหล้าเองก่อนมีกฎหมาย 

และคนไทยเพิ่งรู้จักเบียร์สมัยรัชกาลที่ 7 !!!

#BeerPeopleFest2025 

 

      ใครหลายคนอาจเบิกดวงตาลุกวาวด้วยความคาดไม่ถึง หากจะบอกว่าจุดกำเนิดแรกๆ ของ “เหล้า” หรือ “สุรา” แท้จริงแล้วมาจากดินแดนอาหรับ ซึ่งเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่าเครื่องดื่มมึนเมาคือสิ่งต้องห้ามของที่นั่น แต่ก็นักเคมีชาวอาหรับในยุคโบราณนั่นแหละที่ได้คิดค้นและพัฒนากระบวนการกลั่นของเหลวอันมีแอลกอฮอล์เข้มข้นจนเป็นผลสำเร็จ แล้วความรู้นี้ก็ถูกส่งต่อไปยังทวีปยุโรป

ชาวตะวันตกได้ผลิต “เหล้า” ขึ้นในห้วงเวลาที่พวกตนกำลังออกสำรวจโลก ล่าอาณานิคม และค้าทาส ทั้งยังผลักดันให้กลายเป็นสินค้าสำคัญจนสามารถสร้างผลประโยชน์จากการเก็บภาษี  นับแต่นั้น “เหล้า” หลากหลายรูปแบบก็แพร่กระจายไปทั่วโลก เฉกเช่น บรั่นดี ที่นักเดินเรือใช้ดื่มคลายเหงาระหว่างรอนแรมกลางมหาสมุทร หรือ เหล้ารัม ซึ่งย่อมาจาก “รัมบูลิยง” (rumbullion) ที่เกิดจากการนำกากเหลือๆในการผลิตน้ำตาลอ้อยมาผลิต หรือ เหล้ายิน ที่ถูกผลิตเพื่อเป็นยาบำรุงร่างกายในช่วงภาวะสงคราม และเหล้าผสมต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็น วอดก้า แห่งรัสเซีย หรือ ค็อกเทล หลายสูตรหลากสีสัน

“เหล้า” มิใช่ของแปลกสำหรับสังคมไทย ชาวบ้านแต่ละท้องถิ่นสร้างเตาต้มกลั่นเพื่อผลิตเหล้าขึ้นดื่มเองกันเป็นเรื่องปกติ กระทั่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาได้มีกฎหมายว่าด้วยการจัดเก็บภาษีจากการต้มกลั่นเหล้าโดยมักเก็บตามจำนวนเตาที่ใช้ต้ม ครั้นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นมีการตั้งโรงต้มกลั่นเหล้าขึ้นที่ตำบลบางยี่ขัน จนเกิดคำว่า “เหล้าโรง” ใช้เรียกขานกันติดปาก ไม่เพียงเหล้าต้มกลั่นของไทยเท่านั้น นับแต่ช่วงทศวรรษ 2440 เป็นต้นมาตราบทุกวันนี้ ยังมีการนำเข้าสุราต่างประเทศเข้ามาจัดจำหน่ายเป็นจำนวนมาก

อีกเครื่องดื่มหนึ่งที่อาจจะมิได้ดำรงอยู่ในสังคมไทยมาตั้งแต่ยุคเก่าก่อนเช่นเดียวกับเหล้านั่นก็คือ เบียร์ แต่หากจะกล่าวถึงความเป็นมาของเครื่องดื่มชนิดนี้ในโลกแล้ว ต้องยอมรับว่ามีมาแต่ครั้งโบราณกาล

การค้นพบโดยบังเอิญของมนุษย์ดึกดำบรรพ์สมัยยุคหินคือสิ่งที่ทำให้ “เบียร์” ปรากฏโฉมขึ้นมา บริเวณพื้นที่เมโสโปเตเมียและอียิปต์คือดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยธัญพืชจำพวกข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เดิมทีมนุษย์ดึกดำบรรพ์เก็บเกี่ยวเมล็ดธัญพืชเหล่านี้มาเพื่อเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีพ แต่พวกเขาตระหนักว่ามันช่างไม่เหมาะแก่การกินในขณะที่ยังดิบๆ จึงพยายามนำไปบดและแช่น้ำทิ้งไว้ รวมถึงต้มในน้ำเดือดจนกลายเป็นเหมือนข้าวต้มหรือโจ๊กเหลวๆที่เราๆท่านๆเคยรับประทานกัน แล้วพวกเขาก็ต้องตื่นเต้นว่า เมล็ดธัญพืชที่ถูกแช่น้ำทิ้งไว้จะมีรสชาติออกหวานๆ  ส่วนเมล็ดธัญพืชที่ถูกต้มจนเป็นโจ๊กนั้น พอตั้งทิ้งไว้ราว 2-3 วัน จะมีรสชาติออกซ่าๆเล็กน้อย มิหนำซ้ำ พอลองชิมดูก็บันดาลความรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ

การค้นพบโดยบังเอิญของมนุษย์ดึกดำบรรพ์สมัยยุคหินคือสิ่งที่ทำให้ “เบียร์” ปรากฏโฉมขึ้นมา บริเวณพื้นที่เมโสโปเตเมียและอียิปต์คือดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ด้วยธัญพืชจำพวกข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ เดิมทีมนุษย์ดึกดำบรรพ์เก็บเกี่ยวเมล็ดธัญพืชเหล่านี้มาเพื่อเป็นอาหารหล่อเลี้ยงชีพ แต่พวกเขาตระหนักว่ามันช่างไม่เหมาะแก่การกินในขณะที่ยังดิบๆ จึงพยายามนำไปบดและแช่น้ำทิ้งไว้ รวมถึงต้มในน้ำเดือดจนกลายเป็นเหมือนข้าวต้มหรือโจ๊กเหลวๆที่เราๆท่านๆเคยรับประทานกัน แล้วพวกเขาก็ต้องตื่นเต้นว่า เมล็ดธัญพืชที่ถูกแช่น้ำทิ้งไว้จะมีรสชาติออกหวานๆ  ส่วนเมล็ดธัญพืชที่ถูกต้มจนเป็นโจ๊กนั้น พอตั้งทิ้งไว้ราว 2-3 วัน จะมีรสชาติออกซ่าๆเล็กน้อย มิหนำซ้ำ พอลองชิมดูก็บันดาลความรู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ

การล่วงรู้ถึงกรรมวิธีแปรเมล็ดธัญพืชให้กลายเป็นน้ำตาลมอลโตสหรือ “มอลต์” และน้ำตาลในเมล็ดธัญพืชที่ถูกต้มทิ้งไว้ก็จะถูกยีสต์เปลี่ยนให้กลายเป็นแอลกอฮอล์ได้ นับเป็นจุดเริ่มต้นที่มนุษย์เริ่มคิดจะนำธัญพืชมาหมักให้เป็นเครื่องดื่มเรียกว่า “เบียร์” ยิ่งเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงวิถีดำรงชีพ จากเดิมที่เคยออกล่าสัตว์หาของป่ามาเป็นการตั้งถิ่นฐานเพื่อเพาะปลูก ก็ยิ่งกระตุ้นให้มนุษย์นำธัญพืชนอกเหนือจากการประกอบอาหารมาผลิตเป็นเบียร์ ซึ่งกลายเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรมสำคัญในดินแดนเมโสโปเตเมียและอียิปต์ แล้วยังส่งต่อมาสู่มนุษย์ในยุคใหม่ๆถัดต่อมา กรรมวิธีผลิตเบียร์จึงมีความแพร่หลายไปทั่วทั้งโลกตะวันตกและโลกตะวันออก กระทั่งล่วงถึงช่วงยุคกลางของยุโรป มีการนำดอกของไม้เถาชนิดหนึ่งที่เรียกกันว่า “ฮ็อพ” (hops) มาผสมเป็นส่วนประกอบมาตรฐานในการผลิต โดยเฉพาะในเยอรมนีที่มีสูตรของการผสมฮ็อพอย่างทรงประสิทธิภาพ จนส่งผลให้กลายเป็นประเทศแห่งเบียร์

ในเมืองไทยนั้น หากจะมีอะไรคล้ายๆเบียร์ซึ่งคุ้นเคยกันมาแต่ยุคเก่า ก็คงจะเป็น “สุราแช่” อันเกิดจากการหมักเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น “กระแช่” ที่หมักจากน้ำตาลสด หรือ “อุ” ที่หมักจากข้าวเหนียว แต่ถ้าเป็นเบียร์แบบที่ชาวโลกรู้จักกันดีนั้น เพิ่งจะปรากฏให้เห็นชัดช่วงปลายทศวรรษ 2460 และทศวรรษ 2470 ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีการลงประกาศโฆษณาเบียร์ต่างประเทศตามหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าจะเป็นเบียร์เนเธอร์แลนด์อย่างไฮเนเก้น (Heineken) หรือเบียร์ของเอเชียอย่างซับโปโร (Sapporo) กิริน (Kirin) และอาซาฮี (Asahi) ของญี่ปุ่น

กระทั่ง พ.ศ. 2476 มีการก่อตั้งบริษัทผลิตเบียร์แห่งแรกของไทยขึ้นคือบริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ ซึ่งผลิตเบียร์ออกมาหลายแบรนด์ เช่น เบียร์ตราสิงห์ จากนั้นเบียร์ก็กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ปรากฏผู้ผลิตซึ่งเป็นคู่แข่งกับบริษัทบุญรอด เช่นบริษัทไทยอมฤตบริวเวอรี่จำกัดที่ผลิตเบียร์อมฤตในปี พ.ศ. 2509  ครั้น พ.ศ. 2537 บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัดก็ได้ผลิตเบียร์ตราช้าง และล่าสุดเลยคือเบียร์ตราคาราบาว-ตะวันแดงที่เปิดตัวเมื่อ พ.ศ. 2567

ยิ่งเฉพาะช่วงหลังมานี้ ได้มีการผลิตเบียร์ขึ้นเองโดยประชาชนอย่างหลากหลาย เป็นอุตสาหกรรมเล็กๆซึ่งไม่ต้องยึดโยงอยู่กับการผูกขาดของนายทุนใหญ่ และมีเสียงตอบรับจากนักดื่มเป็นอย่างดี ดังปรากฎคราฟต์เบียร์ (craft berr) แบรนด์ต่างๆ เช่น เบียร์ศิวิไลซ์ (Sivilai) จากเครือมหานคร เบียร์ชาละวัน (Chalawan) เบียร์สมิหลา (Samila) ที่จังหวัดสงขลา เบียร์พิดโลก (Phitlok) ที่จังหวัดพิษณุโลก และเบียร์ฮิปโป (Hippo) ที่จังหวัดชลบุรี เป็นต้น อีกทั้งยังมีโรงงานรับจ้างผลิตคราฟต์เบียร์แหล่งสำคัญคือบริษัทไทย สพิริท อินดัสทรี จำกัด ตั้งอยู่ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา

จึงนับว่าตลาดของเบียร์ไทยนั้น มิเคยเสื่อมคลายความคึกคักและครึกครื้น !

มาย้อนรากเหง้าเรื่องเหล้าเบียร์ในแง่มุมความสัมพันธ์กับประชาชนอย่างรื่นรมย์นับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

 

Beer People Festival 2025

7-8-9 มีนาคม 2568

เวลา 11.00-23.00 น.

 

ที่ ช่างชุ่ย Creative Park ปิ่นเกล้า 

เข้าร่วมงานฟรี !!

แล้วเจอกัน 🍺

 

 

เอกสารอ้างอิง

  • นพพร สุวรรณพานิช. เก็บเล็กประสมน้อย. กรุงเทพฯ: แสงดาว, 2553
  • ภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร), พระยา. ประวัติพระยาภิรมย์ภักดี กับประวัติโรงเบียร์. พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพ อำมาตย์เอกพระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด ภิรมย์ภักดี) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2493. พระนคร: บริษัทบุญรอด บริวเวอรี, 2493
  • Standage, Tom. A History of the World in 6 Glasses. London: Walker Books, 2005